เรื่องราวการพลิกชะตากับมะเร็งโพรงหลังจมูกระยะที่ 4: ฝ่าฟันจากความสิ้นหวัง สู่ภาพเขียนแห่งชีวิต
มะเร็งรุมเร้า การดิ้นรนในห้วงแห่งความสิ้นหวัง
จางจื่อเหว่ย อายุ 46 ปี จากประเทศมาเลเซีย ในเดือนตุลาคม ปี 2023 เขาเริ่มมีอาการปวดศีรษะข้างซ้ายอย่างต่อเนื่อง จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลท้องถิ่น เดิมทีคิดว่าเป็นแค่ความเหนื่อยล้าธรรมดาที่ทำให้ปวดหัว แต่ผลการตรวจ CT และ MRI กลับเผยให้เห็นว่า เขาเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูกชนิดร้ายแรงและยังมีการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอทั้งสองข้างโดยก้อนมะเร็งที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดถึง 7.5 เซนติเมตร คำวินิจฉัยนั้นเปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดกลางชีวิตของเขา ชายที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอดเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับความไม่แน่นอนของชีวิตอย่างแท้จริง
“ตอนที่หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูกระยะที่ 4 ผมนิ่งไปเลย” จางจื่อเหว่ยเล่าย้อนความหลัง “สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่แค่โรคนี้ แต่ผมกลัวว่าครอบครัวของผมจะอยู่กันยังไง”
จางจื่อเหว่ย
ด้วยแรงสนับสนุนจากครอบครัว จางจื่อเหว่ยจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาแบบดั้งเดิมจำนวน 2 คอร์ส ได้แก่ เคมีบำบัด 9 ครั้ง และรังสีบำบัดอีก 35 ครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง นี่คือการต่อสู้ทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง
ระหว่างการรักษา ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ — ปากแห้งรุนแรงจนไม่มีน้ำลาย ทำให้กินอาหารลำบาก; ผิวหนังไหม้ลอกจากรังสีบำบัด; อุณหภูมิร่างกายลดต่ำ ความดันโลหิตแปรปรวน; ต้องนอนติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
จากคนที่เคยแข็งแรง เขากลับน้ำหนักลดลงถึงประมาณ 30 กิโลกรัมภายในเวลาไม่กี่เดือน
“ผมเห็นเขาทรมานขนาดนั้น แต่ในฐานะพี่ชาย ผมกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย” พี่ชายของจางจื่อเหว่ยกล่าวทั้งน้ำตาคลอ
สิ่งที่ทำให้เขาแทบจะพังทลายที่สุดคือ การที่ความหวังไม่ได้มาพร้อมกับการรักษา ในการตรวจติดตามผลช่วงมีนาคม ปี 2024 แสดงให้เห็นว่า แม้การรักษาในช่วงแรกดูเหมือนจะยับยั้งมะเร็งได้บ้าง แต่ในไม่ช้าก้อนมะเร็งก็กลับมา และค่าตัวบ่งชี้มะเร็งก็ยังคงสูง แพทย์บอกเขาว่า นี่คือมะเร็งระยะที่ 4 วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมอาจเอาไม่อยู่แล้ว และแนะนำให้ “เตรียมใจไว้ให้พร้อม”
แสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมน — พลิกฟื้นทั้งร่างกายและชีวิต
ขณะที่จางจื่อเหว่ยกำลังสิ้นหวังและไม่รู้จะเดินต่อทางใด เพื่อนคนหนึ่งได้แนะนำโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวให้เขา โดยบอกว่า คุณพ่อของเขาเคยเข้ารับการรักษาที่นั่นและได้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยความหวังเพียงริบหรี่ จางจื่อเหว่ยจึงเข้าร่วมการบรรยายที่โรงพยาบาลจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในเดือนเมษายน 2024
ผ่านการบรรยายนี้ เขาเริ่มรู้จักแนวทางการรักษาหลายรูปแบบที่โรงพยาบาลกว่างโจวใช้ เช่น การรักษาแบบเฉพาะจุด เทคนิคการรักษาแบบบาดแผลเล็ก การฝังแร่ ซึ่งแตกต่างจากการรักษาเคมีบำบัดแบบดั้งเดิมในมาเลเซียอย่างมาก ทำให้ความหวังของเขาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“ในตอนนั้นผมตัดสินใจจะลองดูอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองแต่เพื่อครอบครัวของผมดวย”
พยาบาลดูแลอย่างเป็นกันเอง
ในเดือนเมษายน ปี 2024 จางจื่อเหว่ยได้เดินทางมายังโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวเป็นครั้งแรก โดยมีพี่ชายร่วมเดินทางมาด้วย ผลการตรวจ PET-CT แสดงให้เห็นว่า บริเวณลำคอด้านซ้ายของเขายังคงมีเนื้องอกขนาดใหญ่อยู่ (ขนาด 6.07.57.1 ซม.) และยังคงมีเซลล์มะเร็งอยู่ในระดับสูง แสดงถึงสภาวะของโรคที่รุนแรง ทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพ (MDT) ของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวจึงได้วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลให้แก่เขาอย่างเร่งด่วน โดยใช้แนวทางการรักษาแบบบูรณาการซึ่งผสมผสานระหว่างการรักษาแบบเฉพาะจุด การรักษาด้วยยามุ่งเป้า และการฝังแร่ เพื่อโจมตีเซลล์มะเร็งอย่างแม่นยำ
ผลCT ก่อนการรักษา
ผล CT หลังการรักษา
จางจื่อเหว่ยได้รับการรักษาแบบเฉพาะจุดทั้งหมด 4 ครั้ง และการฝังแร่ 1 ครั้งที่โรงพยาบาล โดยตลอดกระบวนการรักษาแทบไม่มีความเจ็บปวด และร่างกายก็ฟื้นตัวได้ดีหลังการรักษา สิ่งที่น่ายินดีคือ เพียง 2–3 วันหลังจากการรักษาแบบแบบเฉพาะจุดครั้งแรก สภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งความอยากอาหารและพละกำลังก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อการรักษาดำเนินต่อไป จนถึงการรักษาแบบเฉพาะจุดครั้งที่ 3 ที่ทำร่วมกับการฝังแร่ ผลลัพธ์ก็ยิ่งโดดเด่น ขนาดของก้อนมะเร็งลดลงอย่างชัดเจน โดยไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการตรวจติดตามผลหลังจากการรักษาแบบเฉพาะจุดครั้งที่ 4 ผ่านไป 2 เดือน พบว่า ขนาดของก้อนมะเร็งลดลงถึงสองในสาม และค่าเซลล์มะเร็งก็ลดลงเข้าสู่ช่วงที่ปลอดภัยแล้ว ผลลัพธ์ในเชิงบวกที่ต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้จางจื่อเหว่ยและพี่ชายของเขารู้สึกตื่นเต้นและมีความหวังอีกครั้ง พวกเขาสัมผัสได้อย่างแท้จริงถึง “การฟื้นคืนชีวิต” ราวกับกลับมาจากโลกของความตาย
เปี่ยมด้วยความขอบคุณ: โอบกอดรับอนาคต เขียนบทใหม่ของชีวิต
ตลอดกระบวนการรักษา จางจื่อเหว่ยรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างลึกซึ้งต่อทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำและเป็นวิทยาศาสตร์ของแผนการรักษา หรือความเอาใจใส่ในด้านการดูแลล้วนสร้างความมั่นใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก เขาได้กล่าวถึงแพทย์เจ้าของไข้ ดร. ตงขุย ว่าเป็นผู้ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและความอดทน ซึ่งเป็นกำลังใจสำคัญให้กับเขา นอกจากนี้ ทีมพยาบาลและเจ้าหน้าที่บริการในวอร์ดชั้น 6 ก็ทำให้เขาประทับใจมาก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำวัน การช่วยเหลือเรื่องอาหารและยา หรือแม้แต่การพูดคุยดูแล ทุกอย่างเต็มไปด้วยความใส่ใจ“พยาบาลที่ชั้น 6 ดูแลเหมือนเป็นคนในครอบครัว ไม่เคยแสดงความเบื่อหน่ายกับคำถามของผมเลย” จางจื่อเหว่ยกล่าว “นี่คือสิ่งที่เราไม่เคยสัมผัสได้เลยในมาเลเซีย”
ความห่วงใยอันอบอุ่นนี้ไม่เพียงสร้างพลังใจให้กับจางจื่อเหว่ยเท่านั้น แต่ยังทำให้พี่ชายของเขารู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้ง จนเขาได้เขียนจดหมายขอบคุณด้วยลายมือเพื่อมอบให้แก่คุณหมอตงขุยโดยเฉพาะ
จดหมายขอบคุณของพี่ชายของคุณจางจื่อเหว่ยมอบให้คุณหมอ
ปัจจุบันสภาพของจางจื่อเหว่ยดีขึ้นอย่างชัดเจน ก้อนมะเร็งลดลงอย่างมาก น้ำหนักตัวค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง และสภาพจิตใจก็ฟื้นตัวดีขึ้น เขาเล่าว่าในช่วงที่อยู่มาเลเซีย เขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้เลย แต่ในวันนี้ เขากลับมาดำเนินชีวิตได้อิสระเหมือนเดิมอีกครั้ง ไม่เพียงแต่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่ยังสามารถกลับไปทำงาน และขับรถไปทำงานได้ตามปกติ การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทำให้เขารู้สึกเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิต และเต็มไปด้วยความหวังของสำหรับอนาคต
จางจื่อเหว่ยกับพี่ชาย
เมื่อพูดถึงประสบการณ์การรักษษมะเร็ง เขาแชร์ว่า :“มะเร็งไม่ใช่จุดจบ ถ้าเราพบการรักษาที่ถูกต้อง ก็สามารถกลัยมามีความหวังได้อีกครั้ง” เขายังได้ให้กำลังใจผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคนว่า อย่ายอมแพ้ง่ายๆ จงเชื่อมั่น และลุกขึ้นสู้กับการรักษา
อนาคต เขาหวังว่าจะมีโอกาสกลับมากว่างโจวอีกครั้ง และไปเดินไปบนยอดเขาไป๋หยุนซาน เพื่อใช้ก้าวเดินของตัวเองวัดความหมายของการเกิดใหม่